- Services
- Case Studies
- Technologies
- NextJs development
- Flutter development
- NodeJs development
- ReactJs development
- About
- Contact
- Tools
- Blogs
- FAQ
Next.js vs React เทียบข้อดีข้อเสีย ตัวไหนดีกว่าสำหรับสายเว็บยุคใหม่

ในยุคที่ Web Application เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ระหว่าง Next.js กับ React ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมในวงการพัฒนาเว็บ ทั้งคู่มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Till it’s done จะพาคุณไปดูกันว่าระหว่าง Next js vs React ใครจะสามารถตอบโจทย์สายเว็บยุคใหม่ของธุรกิจคุณได้มากที่สุดกัน
ทำความรู้จัก 2 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักพัฒนาเว็บอย่าง Next js vs React

1. Next.js
Next.js คือ Framework ที่สร้างขึ้นบน React เพื่อช่วยในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบ Server-Side Rendering (SSR), Static Site Generation (SSG) และการสร้างเว็บไซต์แบบ Fullstack พัฒนาโดย Vercel ที่เดิมคือ ZEIT ตั้งแต่ปี 2016 โดยจุดเด่นคือ การจัดการ Routing อัตโนมัติ, การสนับสนุนการสร้างเว็บไซต์ที่เร็วและ SEO-Friendly, การปรับแต่งการทำงานของเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ที่ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพสูง และรองรับการทำงานแบบเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องตั้งค่ามาก
2. React
React คือ ไลบรารี JavaScript สำหรับสร้างส่วนประกอบของเว็บแอปพลิเคชัน หรือ UI ที่มีความสามารถในการสร้างส่วนประกอบแบบ Reusable ซึ่งพัฒนาโดย Facebook ตั้งแต่ปี 2013 จุดเด่นคือ การสร้าง UI ที่เป็นส่วนประกอบ หรือ Component-Based ทำให้โค้ดมีความเป็นระเบียบและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่าย เหมาะสำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง และการควบคุมที่ละเอียด
Next js vs React ข้อดีข้อเสียของทั้งคู่

Next.js
ข้อดีของ Next.js
- รองรับ SSR และ SSG : ช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งปรับแต่ง SEO ได้ดีขึ้น
- พร้อมใช้งานโครงสร้างและเครื่องมือหลายอย่าง : รวม Routing อัตโนมัติ, การจัดการไฟล์, การทำงานร่วมกับ API, ระบบการแคช ฯลฯ ทำให้พัฒนาได้ง่ายขึ้น
- ปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน : ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นและรองรับการแสดงผลแบบทันทีทันใด
- รองรับการสร้างเว็บแบบ Hybrid : ยืดหยุ่นในการเลือกวิธี Rendering สำหรับแต่ละหน้า
- รองรับการทำงานแบบ Full-stack : สามารถสร้าง API Route ภายในแอปพลิเคชันได้เลย

ข้อเสียของ Next.js
- ความซับซ้อนและการเรียนรู้เพิ่มเติม : สำหรับผู้เริ่มต้น อาจต้องทำความเข้าใจเรื่อง SSR, SSG, การจัดการ Routing และการปรับแต่งเพิ่มเติม
- อัปเดตและเวอร์ชันอาจมีความซับซ้อน : การอัปเดต Next.js อาจต้องระวังเรื่อง Compatibility กับเวอร์ชันต่าง ๆ
- อาจมีขนาดโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น : เนื่องจากมีเครื่องมือและโครงสร้างที่ครบถ้วน อาจเพิ่มขนาดไฟล์และความซับซ้อนในบางโปรเจกต์
React
ข้อดีของ React
- ความยืดหยุ่นสูง : สามารถเลือกเทคโนโลยีเสริม เช่น Routing, State Management, การจัดการข้อมูล ฯลฯ ได้เอง จึงเหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่ต้องการการปรับแต่งอย่างละเอียด และควบคุมในทุกส่วน
- ชุมชนใหญ่และเอกสารครบถ้วน : มีตัวอย่าง, โค้ด และคำแนะนำมากมาย ทำให้การเรียนรู้และแก้ปัญหาเป็นไปได้ง่าย
- เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ : ใช้ในหลายโปรเจกต์ทั้งเล็กและใหญ่ มีเครื่องมือสนับสนุนมากมาย เช่น Redux, React Router, และอื่น ๆ
- ความสามารถในการสร้างแอปพลิเคชันแบบ SPA : ให้ประสบการณ์ใช้งานที่รวดเร็วและต่อเนื่อง
ข้อเสียของ React
- ต้อง Configuration เอง : ต้องเลือกและตั้งค่าเครื่องมือเสริม เช่น Webpack, Babel, Routing ฯลฯ เอง ซึ่งอาจซับซ้อนและใช้เวลา
- ไม่มีระบบ SSR ในตัว : ต้องใช้เครื่องมือเสริม เช่น Next.js หรือสร้างระบบ SSR เอง ซึ่งอาจซับซ้อนและต้องการความรู้เพิ่มเติม
- SEO อาจเป็นปัญหาในบางกรณี : เนื่องจากเป็น SPA หากไม่ได้ทำ SSR หรือ Static Generation อาจส่งผลต่อการจัดอันดับของ SEO
สรุปข้อดีข้อเสียระหว่าง Next js vs React
- ถ้าต้องการความยืดหยุ่นสูงและอยากเลือกเทคโนโลยีเอง React เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่ต้องการปรับแต่งเองเป็นหลัก หรือต้องการสร้างแอปพลิเคชันแบบ SPA ที่มีความซับซ้อนสูง
- ถ้าต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มี SEO ดี ทำงานเร็ว และพร้อมใช้เป็นโครงสร้างแบบครบถ้วน Next.js จะเหมาะสมกว่า เพราะเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่เน้น SEO, โหลดเร็ว, ต้องการการทำงานแบบ SSR หรือ SSG โดยไม่ต้องตั้งค่ามากนัก
เลือก Next js vs React สำหรับสายเว็บยุคใหม่
การเลือกใช้ Next.js หรือ React สำหรับงานเว็บยุคใหม่เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากทั้ง 2 เป็นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยควรพิจารณาจากลักษณะโปรเจกต์ ความต้องการด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ความเข้าใจพื้นฐานของ React และ Next.js
React เป็นไลบรารีสำหรับสร้าง UI แบบประกอบด้วย Component ซึ่งให้ความยืดหยุ่นสูงในการสร้างแอปพลิเคชันแบบ SPA
Next.js เป็น Framework บนพื้นฐาน React ที่เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น SSR, SSG, Code Splitting และการจัดการ Routing อัตโนมัติ
2. การพิจารณาตามลักษณะงานและความต้องการของโปรเจกต์
2.1 SEO (Search Engine Optimization)
ถ้าโปรเจกต์ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับดีใน Search Engine เช่น เว็บไซต์บริษัท, บล็อก, ร้านค้าออนไลน์ ควรเลือก Next.js เพราะรองรับ SSR และ SSG ซึ่งทำให้เนื้อหาเว็บไซต์ถูกเรนเดอร์บนเซิร์ฟเวอร์และส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO ได้ดีขึ้น
2.2 ความเร็วและประสิทธิภาพ
Next.js ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นด้วยเทคนิคเช่น Static Generation และ ISR ซึ่งเหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการความเร็วสูงและเนื้อหาไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย
ส่วน React เองก็สามารถสร้างเว็บที่เร็วได้ แต่ต้องปรับแต่งเองเพื่อรองรับเทคนิคเหล่านี้ เช่น การโหลดแบบ Lazy Loading, การจัดการ Cache ฯลฯ
2.3 ความยืดหยุ่นและความซับซ้อนของโปรเจกต์
React เหมาะกับโปรเจกต์ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น แอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนมาก หรือการสร้าง UI ที่กำหนดเองอย่างละเอียด
ส่วน Next.js มีโครงสร้างและฟีเจอร์ที่ช่วยให้การพัฒนารวดเร็วขึ้น ในกรณีที่โปรเจกต์ต้องการการจัดการเส้นทาง, การจัดการ API, การรองรับหลายโหมดของการเรนเดอร์ (SSR, SSG, CSR)
3. การพิจารณาเรื่องทีมและความสามารถ

หากทีมมีความคุ้นเคยกับ React อยู่แล้ว การเรียนรู้ Next.js ก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้น เนื่องจาก Next.js ใช้ React เป็นฐาน
แต่ถ้าทีมต้องการสร้างเว็บที่มีความซับซ้อนน้อย และเน้นความยืดหยุ่นในการควบคุมรายละเอียด อาจเลือกใช้ React แล้วเสริมด้วยเทคนิคและไลบรารีเพิ่มเติม
4. ความสามารถในการขยายตัวและบำรุงรักษา
Next.js ช่วยให้โครงสร้างโปรเจกต์ชัดเจนและรองรับการขยายตัวในอนาคต เช่น การสร้างเว็บไซต์ที่มีหลายหน้า, การจัดการ API ภายใน, การทำ CMS
แต่การใช้งาน React โดยตรงอาจต้องมีการวางโครงสร้างและแนวทางการพัฒนาให้ดี เพื่อรองรับความซับซ้อนในระยะยาว
5. ตัวอย่างการเลือกใช้ตามลักษณะงาน
เว็บไซต์องค์กร, เว็บบล็อก, ร้านค้าออนไลน์ ที่เน้น SEO และความเร็ว ควรเลือกใช้ Next.js
ส่วนแอปพลิเคชันที่เน้นความยืดหยุ่นสูง เช่น ระบบภายใน, Dashboard, ซอฟต์แวร์ที่ต้องการควบคุมการทำงานอย่างละเอียด อาจต้องเลือก React แล้วปรับแต่งตามความต้องการของตนจึงจะเหมาะกว่า
สรุป
Next.js เป็น Framework บน React ที่ช่วยพัฒนาเว็บแอปแบบ SSR, SSG และ Fullstack ซึ่งเน้นเรื่องความเร็วและ SEO ส่วน React เป็นไลบรารีสร้าง UI แบบ component-based ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องการการตั้งค่ามากกว่า ทำให้สำหรับสายเว็บยุคใหม่แล้ว ควรเลือกตามความต้องการของธุรกิจคุณในขณะนั้น เช่น หากเน้น SEO และความเร็ว ให้เลือก Next.js แต่ถ้าต้องการความยืดหยุ่นสูงและปรับแต่งได้ละเอียด React ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
และหากใครที่กำลังมองหาบริการรับทำเว็บไซต์ NextJS หรือ React สำหรับ Web Application ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในสายงานดังกล่าว พวกผม Till it’s done ยินดีให้บริการ การันตีด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี และผลงานเว็บไซต์ที่ใช้งานได้จริงพร้อมดีไซน์สวยงามกว่า 60 โครงการ ไม่ว่าจะเป็น Vote66, เว็บไซต์พรรคก้าวไกลสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566, ระบบการจัดการต้นทุน และการติดตามพนักงานของแดชบอร์ด Foodhub รวมไปถึงระบบเว็บไซต์ของตลาดไท
โดยหากสนใจ สามารถติดต่อได้ที่เว็บไซต์ของของพวกผม Till it’s done หรือทางอีเมลล์ rick@tillitsdone.com นี้ได้เลยนะครับ






Talk with CEO
We'll be right here with you every step of the way.
We'll be here, prepared to commence this promising collaboration.
Whether you're curious about features, warranties, or shopping policies, we provide comprehensive answers to assist you.