- Services
- Case Studies
- Technologies
- NextJs development
- Flutter development
- NodeJs development
- ReactJs development
- About
- Contact
- Tools
- Blogs
- FAQ
สร้างเว็บขายของออนไลน์ด้วยตัวเอง เปรียบเทียบ Shopify vs WooCommerce เลือกอะไรดี?

กำลังมองหาวิธีสร้างเว็บขายของออนไลน์ด้วยตัวเองอยู่ใช่หรือไม่? ในยุคนี้มีตัวเลือกมากมายแบบนี้ Shopify กับ WooCommerce คือ 2 แพลตฟอร์มยอดฮิตในการสร้างเว็บขายของออนไลน์ด้วยตัวเอง แต่แบบไหนจะตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณมากที่สุด มาดูกันว่าแต่ละแพลตฟอร์มนั้นมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกได้เหมาะสมกับกับธุรกิจมากที่สุด ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเจาะลึกกันในบทความนี้ได้เลยครับ
Shopify และ WooCommerce แพลตฟอร์มยอดฮิตในการสร้างเว็บขายของออนไลน์ด้วยตัวเอง

1. Shopify
Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร หรือที่เรียกว่า SaaS: Software as a Service ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งานจะได้รับบริการโฮสติ้ง และเครื่องมือสร้างร้านค้าออนไลน์ในตัว โดยไม่ต้องดูแลเรื่องเซิร์ฟเวอร์เอง
ซึ่งมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่จำเป็นมีความรู้ด้านเทคนิคหรือการจัดการเซิร์ฟเวอร์ และมีเทมเพลตดีไซน์ให้เลือกมากมาย ทำให้สามารถออกแบบร้านค้าให้ดูมืออาชีพได้ง่าย
นอกจากนี้ระบบจัดการร้านค้ายังง่ายต่อการใช้งาน รองรับการจัดการสินค้า, การสั่งซื้อ และการชำระเงิน แม้จะมีค่าบริการรายเดือน แต่ก็มีการสนับสนุนลูกค้าตลอดเวลา และอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเทคโนโลยี
โดย Shopify รองรับช่องทางการชำระเงินหลายช่องทาง ทั้งการชำระเงินผ่าน Shopify เองและผู้ให้บริการภายนอก นอกจานี้ยังมีแอปพลิเคชันเสริมจำนวนมากใน Shopify App Store เพื่อเพิ่มฟังก์ชันและปรับแต่งร้านค้าได้ตามต้องการอีกด้วย
2. WooCommerce
WooCommerce เป็นปลั๊กอินของ WordPress ซึ่งเป็นระบบ CMS ยอดนิยม ทำให้เว็บไซต์ WordPress กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย โดยมันเป็นระบบ Open Source ที่เปิดให้ปรับแต่งและพัฒนาฟังก์ชันเพิ่มเติมได้อย่างอิสระตามความต้องการ
แม้จะต้องการโฮสติ้งของตัวเอง ทำให้ผู้ใช้งานจะต้องดูแลเรื่องเซิร์ฟเวอร์, การอัปเดต และความปลอดภัยด้วยตนเอง แต่ก็มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งและขยายความสามารถ เนื่องจากเป็นระบบเปิดและสามารถเขียนโค้ดปรับแต่งได้ตามต้องการ
ทำให้มันเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคหรือมีทีมพัฒนาที่สามารถจัดการด้านเทคนิคได้ อีกทั้งค่าใช้งานหลักของปลั๊กอิน WooCommerce ยังฟรี แต่ค่าใช้จ่ายอาจเกิดขึ้นจากการซื้อธีม, ปลั๊กอินเสริม และค่าโฮสติ้งที่ต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการกันเองครับ
จุดเด่นและจุดด้อยของ Shopify และ WooCommerce
Shopify

จุดเด่นของ Shopify
- ความสะดวกและรวดเร็วในการเริ่มต้นใช้งาน : Shopify เป็นแพลตฟอร์ม SaaS ที่ให้บริการแบบครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถสร้างร้านค้าได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องตั้งค่าระบบเซิร์ฟเวอร์เอง
- ไม่ต้องดูแลด้านเทคนิคมากนัก : ระบบโฮสติ้งถูกดูแลโดย Shopify เอง ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเซิร์ฟเวอร์หรือการอัปเดตซอฟต์แวร์
- การสนับสนุนและบริการลูกค้า : มีทีมสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชท, อีเมลล์ และโทรศัพท์
- เทมเพลตและแอปเสริมมากมาย : มีชุดเทมเพลตสวยงามให้เลือกใช้ รวมถึงแอปพลิเคชันเสริมที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ง่าย
- ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและหลากหลาย : รองรับหลายช่องทางการชำระเงิน และมีการรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
จุดด้อยของ Shopify
- ค่าใช้จ่ายรายเดือนสูง : ค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นตั้งแต่ 29 เหรียญดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับแอปเสริมและธีมพรีเมียม
- ข้อจำกัดในการปรับแต่งดีไซน์และฟังก์ชัน : แม้จะสามารถปรับแต่งธีมและบางฟังก์ชันได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ WooCommerce ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ
- ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มเดียว : หากต้องการย้ายข้อมูลหรือเปลี่ยนแพลตฟอร์มในอนาคต จะมีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง
- ค่าธรรมเนียมการใช้งาน : สำหรับบางช่องทางการชำระเงิน อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเช่นกัน
WooCommerce
จุดเด่นของ WooCommerce
- ความยืดหยุ่นสูงและปรับแต่งได้เต็มที่ : เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ให้คุณสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ตามต้องการ สามารถปรับแต่งดีไซน์, ฟังก์ชัน และระบบได้อย่างอิสระ
- ควบคุมได้เองเต็มที่ : เจ้าของร้านค้าสามารถจัดการข้อมูลทุกอย่างได้เอง ตั้งแต่โฮสติ้ง ไปจนถึงการอัปเดตปลั๊กอินและธีม
- ไม่มีค่าบริการรายเดือนสำหรับซอฟต์แวร์ : WooCommerce เป็น Open Source แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับโฮสติ้งและปลั๊กอินเสริมบางตัว
- สามารถใช้ร่วมกับปลั๊กอินและธีมจากผู้พัฒนาหลายแห่ง : ช่วยให้สามารถเพิ่มฟังก์ชันเฉพาะทางได้ง่ายขึ้น เช่น ระบบสมาชิก, ระบบสมาชิก VIP, ระบบส่งเสริมการขาย ฯลฯ
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์และร้านค้าขนาดใหญ่ : เมื่อมีความต้องการปรับแต่ง และการควบคุมเองสูง WooCommerce จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
จุดด้อยของ WooCommerce

- ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคและการดูแลระบบ : ผู้ใช้ต้องเข้าใจการติดตั้งและจัดการ WordPress, โฮสติ้ง, การอัปเดตปลั๊กอิน และความปลอดภัยด้วยตัวเอง
- การตั้งค่าและบำรุงรักษาใช้เวลามากขึ้น : ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัย, การสำรองข้อมูล, การอัปเดตซอฟต์แวร์ และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ค่าใช้จ่ายซ่อนเร้น : ถึงแม้ WooCommerce จะฟรี แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับโฮสติ้ง, ปลั๊กอินเสริม, ธีมพรีเมียม และการดูแลรักษาอาจสูงกว่าที่คาดคิด
- ต้องการความเข้าใจในด้านเทคนิคเพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ : ถ้าไม่มีความรู้ด้านเทคนิค อาจต้องจ้างผู้ดูแลระบบหรือทีมพัฒนามาช่วยดูแล
สรุปจุดเด่นและจุดด้อยของ Shopify และ WooCommerce
- Shopify เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก, รวดเร็ว และไม่อยากดูแลระบบเทคนิคมากนัก ซึ่งต้องพร้อมจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อความง่าย
- WooCommerce เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง, ควบคุมได้เต็มที่ และมีความรู้ด้านเทคนิค หรือสามารถจ้างผู้ดูแลระบบได้ เพื่อปรับแต่งและดูแลร้านค้าได้อย่างเต็มที่
วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของด้วย Shopify
วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของด้วย Shopify อย่างละเอียดสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. สมัครสมาชิก Shopify
เข้าเว็บไซต์ Shopify ที่ https://www.shopify.com แล้วจึงคลิก “Start free trial” เพื่อทดลองใช้งานฟรี จากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล, รหัสผ่าน, ชื่อร้านค้า จากนั้นคลิก “Create your store” และเมื่อทำตามขั้นตอนเพื่อเลือกแผนการใช้งาน โดยสามารถเลือกแผนฟรี หรือแผนที่ต้องการในภายหลัง
2. ตั้งค่าร้านค้า
เข้าสู่ Dashboard ของ Shopify แล้วไปที่เมนู “Settings” เพื่อปรับแต่งข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อร้าน, ที่อยู่บริษัท, ข้อมูลภาษี, ช่องทางการชำระเงิน, การจัดส่ง จากนั้นจึงเลือกธีมสำหรับเว็บไซต์ของคุณ โดยไปที่ “Online Store” > “Themes” แล้วจึงเลือกธีมฟรีหรือซื้อธีมจาก Shopify Theme Store แล้วคลิก “Customize” เพื่อปรับแต่งดีไซน์ให้ตรงใจ
3. เพิ่มสินค้า
ไปที่ “Products” > “Add product” ก่อนจะกรอกข้อมูลสินค้า เช่น ชื่อสินค้า, คำอธิบาย, ราคาขาย, สต็อกสินค้า, รูปภาพสินค้า แล้วจึงตั้งค่าตัวเลือกเพิ่มเติม เช่น ตัวเลือกสี, ขนาด, น้ำหนัก สำหรับการคำนวณค่าจัดส่ง และเมื่อเสร็จสิ้น ให้กด “Save” เพื่อบันทึกสินค้า
4. ตั้งค่าการชำระเงินและการจัดส่ง
ไปที่ “Settings” > “Payments” จากนั้นเลือกช่องทางการชำระเงิน เช่น Shopify Payments, PayPal, บัตรเครดิตผ่านผู้ให้บริการอื่น ๆ แล้วทำการเชื่อมต่อบัญชี หรือเปิดใช้งานช่องทางชำระเงินตามคำแนะนำ
เมื่อเสร็จสิ้น ให้ไปที่ “Settings” > “Shipping and delivery” แล้วตั้งค่าระยะเวลาการจัดส่ง ค่าจัดส่งตามน้ำหนัก หรือพื้นที่ ก่อนจะเพิ่มอัตราค่าจัดส่งตามแต่ละโซนหรือประเภทสินค้า
5. เปิดร้านและโปรโมท
ตรวจสอบทุกอย่างให้เรียบร้อย เช่น หน้าเว็บไซต์, สินค้า, การชำระเงิน, การจัดส่ง แล้วคลิก “Online Store” > “Preferences” เพื่อปรับตั้ง SEO สำหรับหน้าแรก จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้น ให้เปิดร้านโดยไปที่ “Sales Channels” แล้วเลือก “Online Store” ให้เป็นช่องทางหลัก
โดยหากต้องการแนะนำการโปรโมท ให้ทำการแชร์เว็บไซต์ไปบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram หรือใช้แคมเปญโฆษณา Google Ads ไม่ก็ Facebook Ads และส่งอีเมลโปรโมชั่นให้ลูกค้าเก่าและใหม่ รวมไปถึงทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับค้นหา จากนั้นจึงติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มยอดขาย
การสร้างเว็บไซต์ขายของด้วย Shopify เป็นกระบวนการที่ง่ายและรวดเร็ว เมื่อคุณสมัครสมาชิก, ตั้งค่าร้านค้า, เพิ่มสินค้า และตั้งค่าช่องทางการชำระเงินและการจัดส่งแล้ว ก็สามารถเปิดร้านและเริ่มโปรโมทเพื่อดึงดูดลูกค้าได้ทันที
คำแนะนำคือให้ทดลองใช้งาน และปรับแต่งอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร้านค้าของคุณประสบความสำเร็จครับ
วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของด้วย WooCommerce
วิธีสร้างเว็บไซต์ขายของ WooCommerce สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. จดโดเมนและเลือกโฮสติ้ง
เลือกชื่อโดเมนที่สอดคล้องกับธุรกิจของคุณ เช่น www.yourshop.com แล้วจึงเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่รองรับ WordPress เช่น SiteGround, Bluehost, หรือ Local Hosting อื่น ๆ จากนั้นจึงจดโดเมนและสมัครแพ็กเกจโฮสติ้ง พร้อมทั้งเชื่อมต่อโดเมนกับโฮสติ้งนั้น ๆ
2. ติดตั้ง WordPress
เข้าสู่ระบบแผงควบคุมของโฮสติ้ง เช่น cPanel แล้วใช้เครื่องมือ One-Click Install สำหรับติดตั้ง WordPress อย่างรวดเร็ว ก่อนจะตั้งชื่อเว็บไซต์และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบ แล้วเข้าสู่ระบบ WordPress ที่ yourdomain.com/wp-admin
3. ติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce
จากแดชบอร์ด WordPress ให้ไปที่ เมนู Plugins > Add New แล้วค้นหา “WooCommerce” จากนั้นกด Install Now ซึ่งหลังติดตั้ง ให้กด Activate เพื่อเปิดใช้งาน
4. ตั้งค่าร้านค้า
เมื่อเปิดใช้งาน WooCommerce จะมีหน้าจอ Setup Wizard ให้ทำตามขั้นตอน เช่น ระบุรายละเอียดร้านค้าอย่าง ที่อยู่, สกุลเงิน, วิธีชำระเงิน หรือค่าจัดส่ง และเลือกธีมที่เหมาะสมกับร้านค้าเบื้องต้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนในภายหลังได้ ก่อนจะกำหนดค่าต่าง ๆ เช่น ภาษา, สกุลเงิน, ภาษี หรือค่าขนส่ง เป็นต้น
5. เพิ่มสินค้า
ไปที่เมนู Products > Add New แล้วใส่ชื่อสินค้า, คำอธิบาย, รูปภาพ, ราคา และค่าจัดส่ง เป็นคำอธิบายสั้น เมื่อเสร็จสิ้น ให้ตั้งค่าแท็ก, หมวดหมู่ และคุณสมบัติของสินค้า แล้วจึงกด Publish เพื่อเผยแพร่สินค้า
6. ปรับแต่งเว็บไซต์
เลือกธีมที่เหมาะสมจาก Appearance > Themes แล้วติดตั้งและปรับแต่งธีมให้เข้ากับแบรนด์ เช่น สี, โลโก้ หรือ Layout ก่อนจะติดตั้งปลั๊กอินเสริม เช่น Elementor สำหรับสร้างหน้าแบบลากและวาง หรือสไตล์ของเว็บไซต์ จากนั้นจึงตั้งค่าหน้าเพจหลัก เช่น หน้าแรก, หน้าเกี่ยวกับเรา หรือหน้าติดต่อเรา แล้วจึงปรับแต่งเมนูและวิดเจ็ตให้ใช้งานง่าย
7. เปิดร้านและโปรโมท

เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการพร้อมโปรโมทผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, การโฆษณา Google Ads หรือการทำ SEO พร้อมจัดทำโปรโมชั่นและกิจกรรมเพื่อดึงดูดลูกค้า จากนั้นจึงดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพและประสบการณ์ลูกค้าที่ดี
มีคำแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ WooCommerce คือควรที่จะสำรองข้อมูลเว็บไซต์เป็นประจำ และติดตั้งปลั๊กอินเพื่อความปลอดภัย เช่น Wordfence เอาไว้ รวมไปถึงวิเคราะห์ยอดขายและพฤติกรรมลูกค้าอยู่เสมอเพื่อปรับกลยุทธ์ในการขายนั่นเองครับ
สรุป
เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Shopify กับ WooCommerce สำหรับสร้างเว็บขายของออนไลน์ ในปี 2025 Shopify เป็นแพลตฟอร์มครบวงจรที่ใช้งานได้ง่ายและไม่ต้องดูแลทางเทคนิคมากนัก ส่วน WooCommerce เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่มีความยืดหยุ่นสูงและต้องการความรู้ด้านเทคนิค โดยทั้ง 2 ระบบมีขั้นตอนการสร้างร้านค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ใช้งานจึงควรเลือกตามความต้องการและความสามารถของธุรกิจของคุณ
แต่หากใครกำลังมองหาบริษัทที่มีบริการรับทำเว็บไซต์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยคุณสร้างเว็บขายของออนไลน์อยู่ล่ะก็ พวกผม Till it’s done เป็นบริษัท Software House ที่มีประสบการณ์ภายในสายงานกว่า 10 ปี และผ่านโครงการต่าง ๆ มามากกว่า 60 โครงการ ซึ่งสามารถพัฒนาเว็บขายของออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ได้อย่างคลอบคลุมและรอบด้านในทุกมิติด้วย Framework ที่เราเชี่ยวชาญอย่าง Medusa Framework
โดย Medusa Framework เป็นระบบ E-Commerce แบบ Open Source ที่ไม่มีระบบจัดการเนื้อหาซึ่งมีฟังก์ชัน E-Commerce มากมาย เช่น
- API-first : ให้ REST หรือ GraphQL API สำหรับการจัดการสินค้า, คำสั่งซื้อ และการชำระเงิน
- Plug in Modular : สามารถขยายด้วยปลั๊กอินเพื่อรองรับ Payment Gateways, Shipping Providers, Taxes และฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้เอง
- Admin UI และ Storefronts : มีส่วน Admin สำหรับจัดการร้านค้า และสามารถเชื่อมต่อกับ Frontend ร้านค้าผ่าน API เช่น Next.js, Nuxt, Vue, ฯลฯ
- ฐานข้อมูลและ Migrations : รองรับ PostgreSQL เป็นค่าเริ่มต้น โดยยังสามารถใช้งานกับฐานข้อมูลอื่นผ่านการตั้งค่าได้
- โครงสร้างที่ปรับแต่งได้สูง : เหมาะกับทีมที่ต้องการควบคุมระบบหลังบ้านทั้งหมด และสร้างร้านค้าแบบหลายสาขา/หลายร้าน
นั่นทำให้ Medusa Framework เหมาะกับทีมพัฒนาที่ต้องการควบคุม Back-End ของร้านค้า และต้องการเชื่อม Front-End แบบ Headless โดยไม่ผูกติดกับ SaaS รวมไปถึงต้องการปรับแต่งระบบหลังบ้านและปลั๊กอินได้เองซึ่งหากสนใจ สามารถติดต่อได้ที่เว็บไซต์ของของพวกผม Till it’s done หรือทางอีเมลล์ rick@tillitsdone.com นี้ได้เลยนะครับ






Talk with CEO
We'll be right here with you every step of the way.
We'll be here, prepared to commence this promising collaboration.
Whether you're curious about features, warranties, or shopping policies, we provide comprehensive answers to assist you.