- Services
- Case Studies
- Technologies
- NextJs development
- Flutter development
- NodeJs development
- ReactJs development
- About
- Contact
- Tools
- Blogs
- FAQ
อยากสร้าง Mobile App จะเลือกใช้โปรแกรมเขียน Mobile App


เมื่อคิดจะสร้าง Mobile App หนึ่งในคำถามที่สำคัญคือเราจะเลือกใช้โปรแกรมเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี? เพราะแต่ละเครื่องมือ และแต่ละภาษานั้นก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมเอง ก็จะช่วยให้โปรเจกต์ของคุณประสบความสำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น ฉะนั้นแล้ว ข้อพิจารณาที่ควรนำมาคิดคืออะไรกันนะ คำตอบของคำถามนี้ได้ถูกรวบรวมมาไว้ให้คุณแล้ว
เลือกภาษาเขียน Mobile App ด้วยอะไรดีนะ
การเลือกภาษาเขียนแอปพลิเคชันบนมือถือ ควรพิจารณาจากเป้าหมายของโปรเจกต์ กลุ่มเป้าหมาย และทรัพยากรที่มี โดยแต่ละภาษามีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การเข้าใจคุณสมบัติของแต่ละภาษา จะช่วยให้สามารถวางแผน และดำเนินงานพัฒนาแอปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการมากที่สุด
1. Java
Java เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาแอป Android เนื่องจากสามารถเขียนโค้ดครั้งเดียวแล้วใช้งานได้แบบ Cross-Platform รวมทั้งสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ทำให้โค้ดมีความเป็นระเบียบ และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ระบบนิเวศของ Java มีเครื่องมือและ Framework มากมาย เช่น Android SDK, Spring, Hibernate ที่ช่วยให้การพัฒนารวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีชุมชนผู้พัฒนาขนาดใหญ่ ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้

2. Python
Python เป็นภาษาโปรแกรมที่เน้นความง่ายในการเรียนรู้และใช้งาน มีโครงสร้างและไวยากรณ์ที่เรียบง่าย ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ภาษานี้ยังรองรับการทำงานกับระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น Windows, macOS และ Linux ด้วยไลบรารี่มาตรฐานที่ครอบคลุมหลายฟังก์ชัน
ตัวอย่างแอปพลิเคชันที่ใช้ Python ได้แก่ Instagram, Pinterest, Spotify และ Dropbox ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Python สามารถใช้สร้าง Mobile App ที่มีความครบถ้วนและมีประสิทธิภาพสูงได้
3. Swift
Swift เป็นภาษาโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาแอปบนระบบปฏิบัติการ iOS และ macOS โดยมีคุณสมบัติที่ทันสมัยอย่างการจัดการหน่วยความจำอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพที่สูง ทำให้แอปที่พัฒนาด้วย Swift ทำงานได้รวดเร็วและเสถียร อีกทั้งไวยากรณ์ของ Swift ยังเข้าใจได้ง่าย ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ดลงไปได้
และตุัวภาษาเองยังเป็น Open Source ซึ่งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถร่วมพัฒนา และปรับปรุงภาษาได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชุมชนและทรัพยากรในการพัฒนา มีความแข็งแรงและกว้างขวางขึ้น
4. C++
C++ เป็นภาษาที่เน้นความเร็วและประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องการการทำงานแบบเรียลไทม์ หรือการคำนวณซับซ้อน เช่น เกม 3D, ระบบฝังตัว และการควบคุมฮาร์ดแวร์โดยตรง
จุดเด่นของ C++ คือสามารถควบคุมทรัพยากรฮาร์ดแวร์ได้อย่างละเอียด พร้อมกับที่มีไลบรารี่มากมายสนับสนุนการพัฒนา แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความซับซ้อนในการเขียนและการจัดการหน่วยความจำ จึงต้องใช้เวลาศึกษาและฝึกฝนเพิ่มเติม
5. C#
C# เป็นภาษาโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นโดย Microsoft สำหรับใช้งานในแพลตฟอร์ม .NET Framework โดยมีโครงสร้างที่ชัดเจนและปลอดภัย ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีความเสถียรและลดข้อผิดพลาด
นอกจากนี้ Visual Studio ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาด้วย C# ยังรองรับการสร้างแอปบนหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, iOS และ Android โดยใช้เทคนิคเช่น Xamarin.Forms ซึ่งช่วยให้สามารถสร้าง UI ที่สวยงามและทำงานได้ดีบนหลายแพลตฟอร์มจากโค้ดฐานเดียวกัน ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
6. Kotlin
Kotlin เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการพัฒนาแอปบน Android เนื่องจากเป็นภาษาที่ทันสมัยและออกแบบให้ทำงานร่วมกับ Java ได้อย่างลงตัว โดยมีซินแท็กซ์ที่เข้าใจง่ายและสั้นกว่า Java ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดคุณภาพสูง, ลดความผิดพลาด รวมทั้งง่ายต่อการบำรุงรักษา
นอกจากนี้ Kotlin ยังสนับสนุนฟีเจอร์ทันสมัย เช่น ฟังก์ชันแบบสั้น (Lambda), การจัดการ Null-Safe และอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาแอปบน Android มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลิสต์เครื่องมือยอดนิยมที่ใช้เขียน Mobile App
1. React Native
React Native เป็นเครื่องมือพัฒนาที่ได้รับความนิยมสำหรับสร้าง Mobile App แบบข้ามแพลตฟอร์มโดยใช้ภาษา JavaScript นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดเพียงชุดเดียวและนำไปใช้งานได้ทั้งบน iOS และ Android โดยไม่ต้องเขียนแยกต่างหาก
รวมถึงตัว React Native ยังมีชุมชนผู้ใช้งานขนาดใหญ่และเครื่องมือสนับสนุน เช่น Expo ซึ่งช่วยให้การพัฒนาสะดวกและรวดเร็วขึ้น รวมถึงฟีเจอร์ Hot Reloading ที่ช่วยให้ปรับปรุง UI และทดสอบแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรันใหม่ทั้งแอปพลิเคชัน เหมาะสำหรับ Mobile Application Developer ที่ต้องการความคล่องตัวและประสิทธิภาพสูงในการสร้าง Mobile Application นั่นเอง
2. App Inventor

App Inventor เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง Mobile Application โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดมาก่อน ผู้ใช้งานสามารถใช้งานผ่านเบราว์เซอร์บนคอมพิวเตอร์ โดยใช้ระบบบล็อก (Block-based Programming) ที่ให้ความสะดวกในการลากและวางส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ปุ่ม, ข้อความ และรูปภาพ พร้อมทั้งตั้งค่าพฤติกรรมของแอปพลิเคชันได้ง่าย ๆ ทำให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่าย โดยไม่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคขั้นสูง
3. Appgyver
Appgyver เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้าง และเปิดตัวแอปพลิเคชันบนเว็บและมือถือได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด ด้วยเครื่องมือใช้งานง่ายและส่วนประกอบสำเร็จรูป (Pre-built Components) ทำให้สามารถออกแบบ UI และฟังก์ชันต่าง ๆ ได้รวดเร็วและสะดวก
อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอก เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนได้ตามต้องการ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชัน โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งลึกซึ้ง
4. Flutter
Flutter เป็น Framework สำหรับพัฒนา Mobile App ที่นิยมใช้งานกันอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติ Hot Reload ซึ่งช่วยให้เห็นผลการแก้ไข UI ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอโหลดใหม่ มีจุดเด่นคือความรวดเร็วในการอัปเดต UI ทำให้พัฒนาและปรับปรุงแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Flutter ยังสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่มีรูปลักษณ์และการทำงานแบบ Native ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น และเหมือนแอปพลิเคชันที่พัฒนาด้วยภาษา Native นั่นเอง
5. Xamarin
Xamarin เป็นเครื่องมือพัฒนาที่ช่วยสร้าง Mobile Application แบบข้ามแพลตฟอร์มโดยใช้ภาษา C# ซึ่งทำให้สามารถแชร์โค้ดได้ถึง 90% ระหว่าง iOS และ Android ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาและบำรุงรักษา
โดยหลังจาก Microsoft เข้าซื้อกิจการในปี 2016 Xamarin ก็ได้รับการพัฒนาและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพที่ให้ประสบการณ์ใช้งานแบบ Native ที่มีคุณภาพสูงและรู้สึกเสมือนแอปพลิเคชันที่พัฒนาด้วยภาษา Native เอง
6. PhoneGap
PhoneGap เป็นเครื่องมือพัฒนาที่ช่วยให้สร้าง Mobile Application แบบข้ามแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเว็บมาตรฐานเช่น HTML5, CSS3 และ JavaScript ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักพัฒนาสามารถใช้งานได้อย่างคุ้นเคยและสะดวก โดยไม่ต้องเรียนรู้ภาษาการพัฒนาของแต่ละระบบปฏิบัติการ ทำให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถทำงานบนหลายแพลตฟอร์ม และเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น
หลักการเลือก Tech Stack เพื่อเขียน Mobile App
Tech Stack แบบ Front-End
1. Native App
การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Native App จะใช้ภาษาและเครื่องมือของแต่ละแพลตฟอร์มโดยตรง เช่น Swift หรือ Objective-C สำหรับ iOS, Java หรือ Kotlin สำหรับ Android
ข้อดี
- ปรับแต่งได้เต็มที่ตามความต้องการของแพลตฟอร์ม
- แอปพลิเคชันมีความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากทำงานโดยตรงบนฮาร์ดแวร์ของอุปกรณ์โดยตรง
- เข้าถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์ได้เต็มที่ เช่น กล้อง, GPS, เซ็นเซอร์ ฯลฯ
ข้อเสีย
- ค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องพัฒนาสองชุดแยกกันสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
- ต้องใช้ทีมพัฒนาที่เชี่ยวชาญในแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจทำให้เวลาการพัฒนายาวนานมากขึ้น
- ไม่สามารถนำโค้ดไปใช้ซ้ำระหว่างแพลตฟอร์มได้โดยตรง
2. Cross-Platform
การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Cross-Platform จะใช้เทคโนโลยีที่เขียนโค้ดเพียงครั้งเดียว แล้วรันได้บนหลายแพลตฟอร์ม เช่น React Native, Flutter, Xamarin เป็นต้น
ข้อดี
- ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา เนื่องจากใช้โค้ดร่วมกันได้หลายแพลตฟอร์ม
- สามารถปรับแต่งให้ใกล้เคียงกับ Native App ได้มากขึ้นในภายหลัง
- ง่ายต่อการบำรุงรักษาและการอัปเดตแอปพลิเคชัน
ข้อเสีย
- ประสิทธิภาพบางกรณีอาจไม่เทียบเท่า Native App เนื่องจากเป็นการรันบนอุปกรณ์อาจเป็น Virtual Machine หรือมี Layer ระหว่างโค้ดกับฮาร์ดแวร์
- อาจจำเป็นต้องปรับแต่งเฉพาะสำหรับแต่ละแพลตฟอร์มในบางกรณี
3. Hybrid App
การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Hybrid App จะพัฒนาแอปพลิเคชันโดยใช้เทคโนโลยีเว็บ เช่น HTML, CSS, JavaScript แล้วนำไปบรรจุใน Native Wrapper (เช่น Cordova, Ionic) เพื่อรันบนอุปกรณ์ที่ต้องการ
ข้อดี
- ราคาถูกที่สุดในบรรดาเทคโนโลยีทั้งหมด เนื่องจากใช้เทคโนโลยีเว็บและโค้ดเดียวกัน
- พัฒนาได้รวดเร็วและง่ายต่อการบำรุงรักษา
ข้อเสีย
- คุณภาพและประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันอาจต่ำกว่าทำ Native App หรือ Cross-Platform
- ไม่สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์ได้เต็มที่เท่ากับ Native App
- อาจมีปัญหาในการตอบสนองต่อ UI/UX ที่ซับซ้อนได้
Tech Stack แบบ Back-End
1. ภาษาที่ใช้เขียน Back-End
โดยภาษาที่ใช้เขียน Back-End นั้นจะมีหลายภาษาให้เลือกใช้งาน เช่น
- C# (พร้อม Framework เช่น ASP.NET)
- Java (Spring Boot)
- JavaScript (Node.js)
- PHP (Laravel, Symfony)
- Python (Django, Flask)
แต่การเลือกภาษาเขียนเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละทีมและความเหมาะสมกับงาน รวมถึงความสามารถในการบำรุงรักษาและสนับสนุนในอนาคต
2. ฐานข้อมูล (Database)
ตัวของฐานข้อมูลจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- SQL (Structured Query Language) : ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เช่น MySQL, PostgreSQL, Microsoft SQL Server
- NoSQL (Not Only SQL) : ฐานข้อมูลไม่เชิงสัมพันธ์ เช่น MongoDB, Cassandra, Firebase Realtime Database
ซึ่งการออกแบบ Schema ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการวางแผนการเก็บข้อมูล เช่น การกำหนดโครงสร้างของตาราง, คอนเทนเนอร์ข้อมูล และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล เพื่อให้การดึงข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
3. Hosting Environment

การทำ Hosting Environment จะเลือกตามความสามารถในการรองรับการขยายตัว (Scalability), ความเสถียร, ราคาค่าใช้จ่าย และบริการเสริม เช่น Cloud Providers อย่าง AWS, Google Cloud, Microsoft Azure เป็นต้น
โดยจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต, ความเสถียรและปลอดภัย, ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับงบประมาณ รวมไปถึงบริการเสริมต่าง ๆ เช่น ระบบ CDN, Load Balancer หรือ Auto Scaling นั่นเอง
สรุป
ในการสร้าง Mobile App นั้น เราควรที่จะเลือกเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่าย และตอบโจทย์ความต้องการของเรา เช่น Flutter, React Native หรือ Swift ไม่ก็ Java การเลือกเครื่องมือขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของผู้ใช้งานและเป้าหมายของตัวโปรเจค เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วที่สุด การศึกษาเครื่องมือแต่ละตัวก่อนตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญครับ รวมถึงการทดลองและเรียนรู้เอง ก็จะช่วยให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณได้เช่นเดียวกัน
หรือหากคุณอยากที่จะหา Software House ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพัฒนาเว็บแอป หรือ Mobile App แล้วล่ะก็ ขอเชิญได้ที่ Till It’s Done ของพวกผม เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญในด้านการ Mobile Application และ Web Application ที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปีในสายงานนี้ รวมไปถึงโครงการที่ประสบความสำเร็จจากเรากว่า 60 โครงการ ทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะเป็นผู้ปรึกษา และนักพัฒนาที่ดีสำหรับโครงการใหม่ของคุณนี้อย่างแน่นอนซึ่งหากสนใจ สามารถติดต่อได้ที่เว็บไซต์ของของพวกผม Till it’s done หรือหรือทางอีเมลล์ rick@tillitsdone.com นี้ได้เลยนะครับ






Talk with CEO
We'll be right here with you every step of the way.
We'll be here, prepared to commence this promising collaboration.
Whether you're curious about features, warranties, or shopping policies, we provide comprehensive answers to assist you.