- Services
- Case Studies
- Technologies
- NextJs development
- Flutter development
- NodeJs development
- ReactJs development
- About
- Contact
- Tools
- Blogs
- FAQ
เจาะลึก Cross Platform App คืออะไร? ใช่ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า Native จริงหรือไม่


ถ้าพูดถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันในยุคนี้ คำว่า Cross Platform App กำลังเป็นที่สนใจอย่างมาก แต่หลาย ๆ คนอาจยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่ามันคืออะไร แล้วมันดีจริงหรือไม่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแบบ Native ที่เป็นทางเลือกเดิม ๆ ในบทความนี้ของ Till it’s done จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Cross Platform App และการทำ Cross Platform App Development ให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นว่ามันเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าแบบ Native จริงหรือไม่
Cross Platform Application ทางเลือกใหม่ในการพัฒนา App
Cross Platform App คือ แอปพลิเคชันที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์ม โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดใหม่ทั้งหมดสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการ เช่น iOS, Android, Windows, หรือ Website ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดความซับซ้อนและต้นทุนในการพัฒนาแอปพลิเคชันลงไปได้
โดย Cross Platform App จะมีการใช้งานโค้ดเบสเดียวหรือใกล้เคียงกัน ทำให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดหลักเพียงชุดเดียว แล้วนำไปใช้งานบนหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันได้ รวมไปถึงมีการใช้ Framework หรือเครื่องมือที่รองรับการสร้าง Cross Platform Application เช่น React Native, Flutter, Xamarin, Cordova, และอื่น ๆ นั่นเอง
ข้อดีข้อเสียระหว่าง Cross Platform และ Native
Cross Platform
ข้อดีของ Cross Platform
- พัฒนาได้เร็วขึ้น : สามารถเขียนโค้ดครั้งเดียวและนำไปใช้งานบนหลายแพลตฟอร์ม เช่น iOS หรือ Android ได้ ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาระบบลงไป
- ประหยัดงบประมาณ : เนื่องจากใช้โค้ดร่วมกันมากขึ้น จึงลดต้นทุนด้านบุคลากรและทรัพยากรในการพัฒนา
- ดูแลรักษาง่าย : อัปเดตและบำรุงรักษาโค้ดทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีฐานโค้ดเดียวกัน
- รองรับหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน : สามารถเปิดตัวแอปบนหลายแพลตฟอร์มได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับตลาดที่ต้องการเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมาก
ข้อเสียของ Cross Platform
- ประสิทธิภาพอาจต่ำกว่า Native : เนื่องจากเป็นการใช้ Framework หรือเทคโนโลยีชั้นกลาง อาจมีการหน่วงหรือช้ากว่า Native ในบางกรณี
- การเข้าถึงฟีเจอร์เฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม : อาจทำได้ยากหรือซับซ้อนมากขึ้น และต้องใช้ไลบรารีเสริมหรือเขียนโค้ด Native เพิ่ม
- ข้อจำกัดด้าน UI/UX : การสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้งานที่สมบูรณ์แบบตามแพลตฟอร์มอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจาก UI อาจไม่สามารถปรับแต่งได้เต็มที่ตามความสามารถของแต่ละระบบปฏิบัติการ
- ความเข้ากันได้กับอัปเดตใหม่ : เมื่อระบบปฏิบัติการมีการอัปเดต อาจต้องรอการปรับปรุง Framework หรือไลบรารีให้รองรับกับการอัปเดตใหม่นี้
Native
ข้อดีของ Native
- ประสิทธิภาพสูงสุด : แอป Native สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ของอุปกรณ์ได้เต็มที่ ทำให้ทำงานได้รวดเร็วและราบรื่น
- ประสบการณ์ผู้ใช้ดีที่สุด : สามารถออกแบบ UI/UX ให้ตรงตามแนวทางของแต่ละแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
- การเข้าถึงฟีเจอร์เฉพาะของแพลตฟอร์ม : รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของแต่ละระบบปฏิบัติการได้เร็วกว่า และสามารถใช้งานฟีเจอร์พิเศษที่ Cross Platform อาจไม่รองรับ
- ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ : เนื่องจากแอป Native เขียนขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มเฉพาะ ทำให้มีความเสถียรและความน่าเชื่อถือสูงกว่า
ข้อเสียของ Native
- ใช้เวลาพัฒนานานขึ้น : ต้องเขียนโค้ดแยกสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม ทำให้ต้องใช้เวลาและความพยายามที่เพิ่มขึ้น
- งบประมาณสูงขึ้น : ต้องจ้างนักพัฒนาที่เชี่ยวชาญในแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจมีต้นทุนสูงกว่าการใช้โค้ดร่วมกัน
- การบำรุงรักษาและอัปเดตซับซ้อน : ต้องดูแลหลายฐานโค้ด ซึ่งอาจทำให้การบำรุงรักษาและอัปเดตเป็นภาระมากขึ้น
- การเปิดตัวช้า : เนื่องจากต้องพัฒนาหลายเวอร์ชัน ทำให้เปิดตัวแอปได้ช้ากว่า
สรุปข้อดีข้อเสียระหว่าง Cross Platform vs Native
- หากต้องการพัฒนาเร็ว, ประหยัดงบ และรองรับหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันแล้วล่ะก็ Cross Platform เป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ
- แต่หากเน้นประสิทธิภาพสูงสุด, การใช้งานฟีเจอร์เฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด Native จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่านั่นเองครับ
ทักษะสำหรับ Cross Platform App Development ที่ควรมี
การทำ Cross Platform App Development จำเป็นจะต้องมีทักษะที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิคและแนวคิด ซึ่งจะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน Cross Platform ที่มีคุณภาพสูง ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดี และสามารถบำรุงรักษาได้ง่ายในระยะยาว
โดยทักษะสำหรับ Cross Platform App Development มีดังนี้
1. ความเข้าใจด้านภาษาโปรแกรม
ควรมีความรู้ในภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้ใน Cross Platform เช่น JavaScript, Dart (สำหรับ Flutter), C# (สำหรับ Xamarin), หรือภาษาอื่น ๆ ที่รองรับการพัฒนาแบบข้ามแพลตฟอร์ม
และจะต้องเข้าใจหลักการเขียนโค้ดให้มีประสิทธิภาพและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่าย รวมถึงเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับ Asynchronous Programming ซึ่งสำคัญต่อการสร้าง UI ที่ตอบสนองได้ดี
2. ความรู้เกี่ยวกับ Framework และเครื่องมือ
เข้าใจและชำนาญในการใช้ Framework เช่น Flutter, React Native, Xamarin, Apache Cordova, Ionic รวมถึงใช้เครื่องมือพัฒนา เช่น IDE, Visual Studio Code, Android Studio, Xcode (สำหรับบางกรณี) ได้

นอกจากนี้ จะต้องเข้าใจการใช้แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างและปล่อยแอป เช่น Gradle, CocoaPods, npm, pub.dev และเข้าใจการใช้งาน SDK และ API ของแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์เฉพาะของแพลตฟอร์มนั้น ๆ
3. การออกแบบ UI/UX ที่ใช้งานได้ดีบนหลายแพลตฟอร์ม
เข้าใจหลักการออกแบบ UI ให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น iOS หรือ Android พร้อมทั้งใช้แนวคิด Responsive Design เพื่อให้แอปดูดีและใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ทุกขนาด
และยังต้องจัดการกับความแตกต่างในพฤติกรรม UI ระหว่างแพลตฟอร์ม เช่น การวางตำแหน่งปุ่ม หรือการใช้ไอคอน แล้วยังต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ และความรู้สึกของผู้ใช้งานในแต่ละแพลตฟอร์มอีกด้วย
4. ความเข้าใจในการใช้งาน API และการเชื่อมต่อกับ Backend
สามารถสร้างและใช้งาน RESTful API, GraphQL API เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ และจัดการด้าน Authentication, Authorization, และการรักษาความปลอดภัยข้อมูลได้
รวมไปถึงจัดการกับการส่งข้อมูล, การรับข้อมูล และการจัดการกับข้อผิดพลาดของ API พร้อมทั้งเข้าใจการใช้งาน SDK ของบริการภายนอก เช่น Firebase, AWS หรืออื่น ๆ
5. การจัดการกับความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์ม
เข้าใจความแตกต่างด้านสถาปัตยกรรม, ระบบปฏิบัติการ และการจัดการทรัพยากร พร้อมทั้งจัดการกับความแตกต่างของ API ระหว่าง iOS และ Android ได้
นอกจากนี้ ยังต้องใช้เทคนิคเช่น Platform Channels (สำหรับ Flutter) หรือ Native Modules (สำหรับ React Native) เพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์เฉพาะของแพลตฟอร์ม และปรับแต่งการทำงานให้เหมาะสมและเสถียรบนแต่ละแพลตฟอร์มนั่นเอง
6. ความสามารถในการทดสอบและดีบัก
เข้าใจแนวทางการเขียน Unit Test, Integration Test และ UI Test พร้อมใช้เครื่องมือสำหรับดีบัก เช่น Chrome Developer Tools, Flipper หรือ Android Debug Bridge (ADB) เป็นต้น

พร้อมกับทดสอบบนอุปกรณ์จริงและ Emulator/Simulator เพื่อความแน่ใจในความเข้ากันได้ แล้วติดตามและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
7. การจัดการโปรเจกต์และเวอร์ชัน
ใช้ระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อบริหารจัดการโค้ด พร้อมวางแผนและจัดการสปรินต์, การปล่อยอัปเดต และการดูแลบำรุงรักษาแอป
นอกจากนี้ ยังต้องจัดการ Dependencies และรุ่นของไลบรารีเพื่อความเสถียรของโปรเจกต์ รวมถึงเรียนรู้และใช้ CI/CD pipelines เพื่อความรวดเร็วในการปล่อยอัปเดตอีกด้วย
8. ทักษะด้านการปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่
เปิดรับเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ ๆ ในวงการ Cross Platform Development รวมถึงสามารถปรับตัวและเรียนรู้เครื่องมือและ Framework ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
รวมถึงติดตามข่าวสารและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในวงการพัฒนาแอป พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีให้ทัน
สรุป
Cross Platform App คือแอปที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยใช้โค้ดเดียวกัน ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาเมื่อเทียบกับ Native ซึ่งเน้นประสิทธิภาพและฟีเจอร์เฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งผู้ที่จะทำ Cross Platform App Development จะต้องมีทักษะสำคัญในการพัฒนา รวมถึงความเข้าใจภาษาโปรแกรม Framework, การออกแบบ UI/UX, การเชื่อมต่อ API และการทดสอบ ทำให้ Cross Platform App จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับโครงการที่ต้องการความรวดเร็วและคุ้มค่านั่นเองครับ






Talk with CEO
We'll be right here with you every step of the way.
We'll be here, prepared to commence this promising collaboration.
Whether you're curious about features, warranties, or shopping policies, we provide comprehensive answers to assist you.