- Services
- Case Studies
- Technologies
- NextJs development
- Flutter development
- NodeJs development
- ReactJs development
- About
- Contact
- Tools
- Blogs
- FAQ
เจาะลึก 7 ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน (SDLC) ที่ทุกโปรเจกต์ต้องมี

การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความเป็นระบบ เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน บทความนี้ของ Till it’s done จึงจะพาคุณไปทำความรู้จัก SDLC และเจาะลึก 7 ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชันคุณภาพสูง พร้อมคำแนะนำและคำถามที่พบได้บ่อย เพื่อให้เข้าใจและนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
ทำความรู้จัก SDLC หัวใจสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชัน

SDLC (Software Development Life Cycle) คือ กระบวนการในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นระเบียบและมีขั้นตอนที่ชัดเจน ตั้งแต่การวางแผนจนถึงการบำรุงรักษา เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน กระบวนการนี้ช่วยให้การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นระบบ, มีประสิทธิภาพ, ลดความผิดพลาด และสามารถควบคุมงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินงานได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของ SDLC
- ช่วยให้การพัฒนามีความเป็นระเบียบและควบคุมได้ดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงและข้อผิดพลาดในกระบวนการพัฒนา
- ช่วยให้สามารถคาดการณ์งบประมาณและระยะเวลาที่ใช้ได้แม่นยำขึ้น
- เพิ่มคุณภาพของซอฟต์แวร์และความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
เจาะลึก 7 ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน
แนวทางการพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถแบ่งออกเป็น 7 ขั้นตอนหลัก ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญในการสร้างแอปพลิเคชันที่มีคุณภาพ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การวางแผน (Planning)
ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการกำหนดเป้าหมายหลักของโปรเจกต์ รวมถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งด้านเทคนิค, งบประมาณ, เวลาและทรัพยากรที่มีอยู่
การวางแผนอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ทีมงานสามารถตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดสรรงบประมาณ, การกำหนดตารางเวลา, การเลือกเทคโนโลยีที่จะใช้ รวมถึงการกำหนดความเสี่ยงและแนวทางการรับมือ
2. การวิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis)
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดเพื่อเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานและธุรกิจอย่างละเอียด โดยการเก็บข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ใช้งาน, กลุ่มธุรกิจ หรือลูกค้า แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดคุณสมบัติและฟังก์ชันที่แอปพลิเคชันควรมี การทำเอกสารความต้องการ (Requirement Specification Document) จะช่วยให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันและเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อไป
3. การออกแบบระบบ (Design)
หลังจากเข้าใจความต้องการแล้ว ขั้นตอนนี้จะเป็นการวางโครงสร้างและภาพรวมของระบบ เช่น การออกแบบฐานข้อมูล, การวางโครงสร้างของอินเทอร์เฟซผู้ใช้งาน (UI) รวมถึงการออกแบบระบบในระดับรายละเอียด อย่างการวางโครงสร้างโปรแกรม หรือการกำหนดโมดูลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถพัฒนาได้อย่างเป็นระบบ และสามารถบำรุงรักษาได้ง่าย

4. การพัฒนาและเขียนโค้ด (Development)
ในขั้นตอนนี้ นักพัฒนาจะลงมือเขียนโค้ดตามแบบแผนและการออกแบบที่วางไว้ โดยใช้ภาษาโปรแกรมและเครื่องมือที่เหมาะสม การพัฒนาอาจเป็นแบบทีละโมดูลหรือเป็นเวที ๆ เพื่อให้สามารถทดสอบและปรับปรุงได้ง่าย รวมถึงการทำงานร่วมกันของทีม เพื่อให้โค้ดเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
5. การทดสอบระบบ (Testing)
เมื่อพัฒนาเสร็จแล้ว จะต้องดำเนินการทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาด และความไม่สมบูรณ์ของระบบ โดยการทดสอบมีหลายประเภท เช่น การทดสอบความสมบูรณ์ (Unit Testing), การทดสอบการทำงานร่วมกัน (Integration Testing), การทดสอบระบบ (System Testing) และการทดสอบความปลอดภัย (Security Testing) เพื่อให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันทำงานได้ตามความคาดหวังและไม่มีข้อผิดพลาดที่สำคัญ
6. การนำไปใช้งาน (Deployment)
เมื่อระบบผ่านการทดสอบและพร้อมใช้งาน ขั้นตอนต่อไปคือการนำแอปพลิเคชันไปเผยแพร่ให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึง โดยอาจเป็นการติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์, การอัปโหลดไปยังร้านค้าแอปพลิเคชัน หรือการปล่อยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงผ่านเว็บ การวางแผนการเปิดตัวงานและการสนับสนุนในช่วงแรก ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การนำไปใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น
7. การบำรุงรักษาและปรับปรุง (Maintenance)
หลังจากแอปพลิเคชันถูกนำไปใช้งานแล้ว จำเป็นต้องมีการดูแลรักษา เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจพบ, การอัปเดตเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือการปรับปรุงฟังก์ชันเพื่อให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนไป การบำรุงรักษานี้จะช่วยให้แอปพลิเคชันมีความเสถียร, ปลอดภัย และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน

1. ทำไมต้องใช้ SDLC?
SDLC ถูกนำมาใช้เพื่อให้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นระเบียบ, มีความเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยลดข้อผิดพลาดในกระบวนการพัฒนา และควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอน รวมถึงช่วยให้ทีมงานสามารถวางแผน และบริหารเวลา รวมถึงงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ SDLC ยังช่วยให้สามารถติดตามความคืบหน้า และปรับปรุงแก้ไขได้ตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงข้อกำหนดของโครงการอีกด้วยครับ
2. มีโมเดล SDLC อะไรบ้าง?
โมเดล SDLC ที่นิยมใช้ประกอบด้วยหลายแบบ เช่น
- Waterfall (แบบลำดับขั้น) : เป็นโมเดลที่ดำเนินงานเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง ไม่มีการย้อนกลับ
- Iterative (แบบวนซ้ำ) : พัฒนาซอฟต์แวร์เป็นรอบ ๆ ทำให้สามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา
- Spiral : รวมแนวคิดของการวางแผนและความเสี่ยงเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับโปรเจกต์ซับซ้อน
- V-Model : เน้นการทดสอบคู่กับการพัฒนาในแต่ละขั้นตอน
- Agile : เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวในระหว่างกระบวนการพัฒนา
- DevOps : รวมการพัฒนาและดำเนินงานเข้าด้วยกัน เพื่อความรวดเร็วและต่อเนื่อง
ซึ่งแต่ละโมเดลมีลักษณะและข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของโปรเจกต์
3. ข้อดีของการใช้ SDLC คืออะไร?
- ช่วยให้การวางแผนเป็นระบบและชัดเจน
- ระบุความเสี่ยงล่วงหน้าและวางแผนรับมือได้ดี
- ตรวจสอบคุณภาพของซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น
- ติดตามความคืบหน้าและการพัฒนาของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถปรับปรุงและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ตามความต้องการในแต่ละขั้นตอน
- ส่งผลให้ซอฟต์แวร์มีคุณภาพสูงและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน
4. ข้อเสียของ SDLC คืออะไร?
- ใช้เวลานานและค่าใช้จ่ายสูงในบางโมเดล เช่น Waterfall เป็นต้น
- ขาดความยืดหยุ่นในโมเดลบางแบบ ทำให้ยากต่อการปรับเปลี่ยนในระหว่างกระบวนการ
- อาจไม่เหมาะกับโปรเจกต์ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือความเร็วสูง
- การวางแผนและการดำเนินการอาจซับซ้อนและต้องการการบริหารจัดการที่ดี
- หากไม่วางแผนอย่างรอบคอบ อาจนำไปสู่ความล่าช้า หรือความไม่ตรงตามความต้องการ
5. แตกต่างระหว่าง Waterfall กับ Agile คืออะไร?
- Waterfall เป็นโมเดลแบบลำดับขั้น (Sequential) ที่แต่ละขั้นต้องเสร็จก่อนจึงจะดำเนินขั้นต่อไป เช่น การวิเคราะห์ความต้องการ, การออกแบบ, การพัฒนา, การทดสอบ และการบำรุงรักษา
- โดยข้อดีของ Waterfall คือความชัดเจนและง่ายต่อการวางแผน แต่ข้อเสียคือมีความยืดหยุ่นต่ำ
- Agile เป็นโมเดลที่เน้นการทำงานเป็นรอบ ๆ (Iteration) โดยเน้นความยืดหยุ่น การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการส่งมอบงานเป็นช่วงสั้น ๆ ทำให้สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้ดี
- ซึ่งข้อดีของ Agile คือความสามารถในการปรับตัวและทำงานรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียคืออาจขาดความแน่นอนในแผนงานระยะยาวแทน
6. การเลือกใช้โมเดล SDLC ควรพิจารณาอะไรบ้าง?
สิ่งที่ควรพิจารณาการเลือกใช้โมเดล SDLC มีดังนี้
- ขนาดและความซับซ้อนของโปรเจกต์
- ความต้องการความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับเปลี่ยน
- ระยะเวลาและงบประมาณที่มีอยู่
- ความสามารถและประสบการณ์ของทีมงาน
- ความเสี่ยงและความสำคัญของคุณภาพของซอฟต์แวร์
- ความต้องการของลูกค้าและผู้ใช้งาน
โดยการพิจารณาเหล่านี้จะช่วยให้เลือกโมเดล SDLC ที่เหมาะสม และเพิ่มโอกาสความสำเร็จของโครงการ
7. ทำไมการทดสอบใน SDLC ถึงสำคัญ?
การทดสอบเป็นขั้นตอนที่สำคัญ นั่นคือเพื่อค้นหาและแก้ไขข้อผิดพลาด หรือบัคในซอฟต์แวร์ก่อนนำไปใช้งานจริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาด ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของระบบ
นอกจากนี้การทดสอบยังช่วยให้แน่ใจว่าสินค้าตรงตามความต้องการ และข้อกำหนดของลูกค้า ทำให้เกิดความมั่นใจในคุณภาพของซอฟต์แวร์ และลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
8. อะไรคือความสำคัญของการบำรุงรักษาใน SDLC?
การบำรุงรักษาเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ ในการรับรองว่าซอฟต์แวร์จะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพตามเวลาที่กำหนด รวมถึงการแก้ไขข้อผิดพลาดที่พบหลังจากการใช้งาน
โดยการอัปเดตและปรับปรุงฟีเจอร์ให้ทันสมัย, การปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งาน และการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะช่วยให้ซอฟต์แวร์สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น

สรุป
ความสำคัญของกระบวนการ SDLC ในการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ คือ การวางแผน, วิเคราะห์ความต้องการ, ออกแบบ, พัฒนา, ทดสอบ, นำไปใช้งาน และบำรุงรักษา เพื่อให้ซอฟต์แวร์ตรงตามความต้องการและมีความเสถียร
ซึ่งการเลือกโมเดลที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของโปรเจกต์ พอ ๆ กับการทดสอบและบำรุงรักษา ที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและการใช้งานในระยะยาวของซอฟต์แวร์ เพื่อให้พัฒนาซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงสุดนั่นเองครับ
ซึ่งหากคุณไม่อยากปวดหัวกับขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน และต้องการผู้ช่วยที่มีประสบการณ์มามากกว่า 10 ปีในสายงานนี้ และผ่านโครงการต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน พวกผม Till it’s done ยินดีให้บริการพัฒนาเว็บแอปแก่คุณ การันตีด้วยผลงานเว็บไซต์ที่ใช้งานได้จริงและดีไซน์สวยงาม ไม่ว่าจะเป็น Vote66, เว็บไซต์พรรคก้าวไกลสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566, ระบบการจัดการต้นทุน และการติดตามพนักงานของแดชบอร์ด Foodhub รวมไปถึงระบบเว็บไซต์ของตลาดไทซึ่งหากลูกค้าสนใจ สามารถติดต่อได้ที่เว็บไซต์ของของพวกผม Till it’s done หรือทางอีเมลล์ rick@tillitsdone.com นี้ได้เลยนะครับ






Talk with CEO
We'll be right here with you every step of the way.
We'll be here, prepared to commence this promising collaboration.
Whether you're curious about features, warranties, or shopping policies, we provide comprehensive answers to assist you.